วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2562

อวกาศ : หุ่นยนต์สำรวจดวงจันทร์ของจีนพบวัตถุประหลาดคล้ายเจลที่ด้านไกลของดวงจันทร์

2 ก.ย. 2562

อวกาศ : หุ่นยนต์สำรวจดวงจันทร์ของจีนพบวัตถุประหลาดคล้ายเจลที่ด้านไกลของดวงจันทร์


องค์การบริหารกิจการอวกาศแห่งชาติจีน (CNSA) แถลงว่าหุ่นยนต์ตระเวนสำรวจดวงจันทร์ด้านไกล "อวี้ทู่-2" (Yutu-2) หรือ "กระต่ายหยก" ได้พบวัตถุประหลาดคล้ายเจลที่สะท้อนแสงเป็นมันวาว ในแอ่งหลุมแห่งหนึ่งที่เพิ่งเกิดจากการชนของอุกกาบาตเมื่อไม่นานมานี้
แม้ทางการจีนจะยังไม่เปิดเผยว่าวัตถุดังกล่าวคืออะไร แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์จากต่างประเทศส่วนหนึ่งคาดว่า น่าจะเป็นแก้วหลอมละลาย ซึ่งเกิดจากความร้อนหลังการพุ่งชนของอุกกาบาตดังกล่าว
การค้นพบครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าตรงกับวันที่ 8 ของเดือนใหม่ตามการนับวันเวลาบนดวงจันทร์ เนื่องจากการหมุนรอบตัวเองและรอบโลกที่เชื่องช้ากว่า ทำให้ 1 วันของดวงจันทร์นั้นยาวนานเท่ากับ 2 สัปดาห์บนโลก
ในช่วงใกล้เที่ยงของวันดังกล่าว ทีมนักวิทยาศาสตร์จีนผู้ควบคุมยานฉางเอ๋อ-4 และหุ่นยนต์สำรวจอวี้ทู่-2 กำลังเตรียมสั่งให้อุปกรณ์สำรวจ "นอนกลางวัน" ซึ่งหมายถึงหยุดพักการทำงานชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอุณหภูมิสูงในช่วงที่ดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะโดยตรง
แต่ในขณะนั้นเอง สมาชิกของทีมควบคุมผู้หนึ่งได้สังเกตเห็นวัตถุประหลาดในแอ่งหลุมที่อยู่ใกล้เคียง จึงระงับคำสั่งพักการทำงานช่วงเที่ยงเอาไว้ก่อน และให้หุ่นยนต์สำรวจเคลื่อนเข้าไปตรวจสอบ โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของสารจากการดูดกลืนและสะท้อนแสงย่านใกล้อินฟราเรด (VNIS)

บันทึกการตระเวนสำรวจของหุ่นยนต์อวี้ทู่-2 ระบุว่าวัตถุดังกล่าวแตกต่างจากพื้นผิวดวงจันทร์ที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง (regolith) อย่างมาก ทั้งรูปร่าง สีสัน และผิวสัมผัส แต่ยังไม่มีการสรุปผลว่ามันคืออะไรกันแน่
นักวิทยาศาสตร์ต่างชาติบางส่วนแสดงความเห็นว่า พื้นผิวของดวงจันทร์นั้นออกจะแห้งผากขาดความชื้น ทำให้โอกาสที่วัตถุดังกล่าวจะคงสภาพเป็นเจลอยู่ได้มีน้อยมาก หากเป็นแก้วหลอมละลายจริงก็น่าจะแข็งตัวขึ้นแล้วในขณะนี้
ส่วนที่มีผู้แสดงความเห็นว่าวัตถุดังกล่าวน่าจะเป็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิตต่างดาวหรือเอเลียน หรือแม้กระทั่งหมีน้ำทาร์ดิเกรดที่เป็นข่าวว่าอาจอยู่รอดได้บนดวงจันทร์ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์หลายคนบอกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้


ผุดไอเดียลิฟต์อวกาศแบบใหม่ เชื่อมวงโคจรโลกกับพื้นดวงจันทร์ด้วยสายเคเบิล

28 ส.ค. 2562

ผุดไอเดียลิฟต์อวกาศแบบใหม่ เชื่อมวงโคจรโลกกับพื้นดวงจันทร์ด้วยสายเคเบิล

ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติเสนอแผนการสร้าง "สเปซไลน์" (Spaceline) ลิฟต์อวกาศแบบใหม่ที่มีความเป็นไปได้ในการก่อสร้างสูงยิ่งกว่าเดิม โดยใช้สายเคเบิลที่ผลิตจากวัสดุล้ำยุคเชื่อมต่อระหว่างพื้นผิวดวงจันทร์กับสถานีอวกาศนอกโลก
วิธีดังกล่าวจะช่วยตัดลดค่าใช้จ่ายในการยิงจรวดส่งยานอวกาศออกนอกวงโคจรของโลกไปได้อย่างมาก โดยในอนาคตผู้เดินทางท่องอวกาศเพียงโดยสารมากับจรวดให้ถึงระดับวงโคจรค้างฟ้า (geostationary orbit) ของดาวเทียมทั่วไปเท่านั้น แล้วจะสามารถขึ้นลิฟต์อวกาศที่สถานีเชื่อมต่อนอกโลกตรงไปยังดวงจันทร์ได้ทันที
แนวความคิดใหม่นี้เป็นของทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐฯ และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในสหราชอาณาจักร โดยมีการเผยแพร่ในเว็บไซต์คลังเอกสารวิชาการออนไลน์ arXiv.org เมื่อไม่นานมานี้
รายงานการวิจัยดังกล่าวระบุว่า สเปซไลน์นั้นเป็นลิฟต์อวกาศที่มีความเป็นไปได้ในการก่อสร้างจริงสูง และสามารถสร้างขึ้นจากวัสดุแข็งแกร่งที่สุดที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน โดยการยึดสายเคเบิลเข้ากับพื้นผิวดวงจันทร์แต่ไม่ยึดโยงกับพื้นโลกนั้น ทำให้เสี่ยงกับปัญหาเดิม ๆ เรื่องความมั่นคงแข็งแกร่งและความปลอดภัยของลิฟต์อวกาศน้อยลง เนื่องจากไม่ต้องต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลกที่รุนแรงกว่า รวมทั้งความเร็วในการหมุนของโลกที่จะทำให้สายเคเบิลขาด
ลิฟต์อวกาศแบบใหม่จะใช้สายเคเบิลยึดพื้นผิวดวงจันทร์และโยงมายังสถานีอวกาศนอกโลก ซึ่งจะสร้างขึ้นในลักษณะคล้ายกับลูกดิ่งที่ถูกผูกห้อยไว้ที่ปลายเชือก และจะมีกระสวยอวกาศแบบใช้พลังงานแสงอาทิตย์วิ่งรับส่งผู้โดยสารไปตามเส้นทางนี้
สำหรับวัสดุที่จะใช้ในการผลิตสายเคเบิลนั้น ทีมผู้วิจัยเสนอว่าแม้ตัวเลือกที่ดีที่สุดจะเป็นวัสดุแห่งอนาคตอย่างคาร์บอนนาโนทิวบ์ แต่วัสดุที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันเช่นพอลิเอทิลีนน้ำหนักโมเลกุลสูงพิเศษ (UHMWPE) ซึ่งเป็นเส้นใยที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ก็มีความเหมาะสมสำหรับโครงการลิฟต์อวกาศเช่นกัน โดยอาจออกแบบให้สายเคเบิลมีรูปทรงตีบแคบที่ส่วนปลายทั้งสองข้าง แต่มีความหนามากเป็นพิเศษตรงส่วนกลาง เพื่อป้องกันการฉีกขาด
ทีมผู้วิจัยยังหวังว่า การสร้างลิฟต์อวกาศแบบยึดติดกับพื้นดวงจันทร์นี้ จะช่วยให้เกิดการพัฒนาสถานีทดลองในอวกาศหรือแม้แต่การสร้างอาณานิคมอวกาศแห่งใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อสร้างสถานีต่าง ๆ ในจุดสมดุลแรงโน้มถ่วงระหว่างโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ หรือจุดลากรานเจียน (Lagrangian Point) ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มาก
ความคิดเรื่องก่อสร้างระบบลิฟต์อวกาศนั้นมีมานานกว่า 100 ปี แต่ยังไม่สามารถทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้ เพราะมีข้อจำกัดอย่างมหาศาล ทั้งเรื่องวัสดุที่ใช้ซึ่งจะต้องมีน้ำหนักเบาและทนทานแข็งแกร่ง เพื่อให้ระบบลิฟต์ที่สูงเกินปกติรับน้ำหนักของตัวเองได้ ส่วนโครงสร้างของลิฟต์ต้องสามารถต้านทานต่อแรงโน้มถ่วงของโลกและแรงหนีศูนย์กลางที่มากระทำ รวมทั้งทนต่อสภาพอากาศรุนแรงบนโลกเช่นลมพายุได้ด้วย

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ยานจันทรายาน 2 เคลื่อนที่เข้าสู่วงโคจรรอบดวงจันทร์

23/ส.ค/2562
ยานจันทรายาน 2 เคลื่อนที่เข้าสู่วงโคจรรอบดวงจันทร์ หลังจากยานถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศ มีกำหนดลงจอด 7 ก.ย.นี้ หากภารกิจสำเร็จอินเดียจะเป็นประเทศที่ 4 นำยานลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์

  วันนี้ (23 ส.ค.2562) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) เปิดเผยว่า ยานอวกาศจันทรายาน 2 (Chandrayaan 2) จากประเทศอินเดีย เคลื่อนที่เข้าสู่วงโคจรรอบดวงจันทร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากยานถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศ เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา และมีกำหนดลงจอดในวันที่ 7 ก.ย.62 นี้ หากสำเร็จ อินเดียจะเป็นประเทศลำดับ 4 ต่อจาก รัสเซีย อเมริกา และจีน ที่สามารถนำยานอวกาศลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จ
องค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (ISRO) เปิดเผยว่า ขั้นตอนการส่งยานอวกาศเข้าสู่วงโคจรวงจันทร์เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่ยากและท้าทายมาก เนื่องจากหากยานอวกาศเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่มากเกินไป แรงโน้มถ่วงดวงจันทร์จะไม่สามารถดึงยานอวกาศให้อยู่ในวงโคจรได้ และอาจทำให้ยานอวกาศเคลื่อนที่เลยจากเป้าหมายออกไปไกลในอวกาศ หรือถ้ายานอวกาศมีความเร็วน้อยเกินไป ก็จะไม่สามารถรักษาระดับความสูงขณะโคจรรอบดวงจันทร์ได้ และถูกแรงโน้มถ่วงดึงลงมาจนกระแทกกับพื้นผิวของดวงจันทร์ในที่สุด
ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงให้ความสำคัญกับระดับความเร็วของยานอวกาศขณะเข้าสู่วงโคจรรอบดวงจันทร์ รวมทั้งทิศทางการเอียงและความสูงจากผิวดวงจันทร์ที่เหมาะสมอย่างละเอียด ถูกต้อง และแม่นยำทุกขั้นตอน เพื่อให้ภารกิจดังกล่าวประสบผลสำเร็จตามแผนที่วางไว้
ความสำเร็จในแต่ละขั้นตอนของจันทรายาน 2 เกิดขึ้นจากประสบการณ์และความสำเร็จในการส่งยานอวกาศจันทรายาน 1 เพื่อโคจรรอบดวงจันทร์ เมื่อปี 2551 ที่ผ่านมา สำหรับขั้นตอนถัดไป ไม่ว่าจะเป็นการลงจอดหรือสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ จะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหม่ที่สำคัญอย่างมากสำหรับโครงการสำรวจอวกาศของประเทศอินเดีย ซึ่งจะนำไปสู่แผนการส่งมนุษย์ไปสำรวจดวงจันทร์ในอนาคต

ข้อมูล/ภาพ : สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ Fan Page 

ขับเคลื่อนแผนพัฒนาการแพทย์แม่นยำช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาผู้ป่วย

15/ส.ค./2562
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมมือภาคีเครือข่ายจัดประชุม Genomics Thailand สัญจรภาคอีสาน ขับเคลื่อนแผนพัฒนาการแพทย์แม่นยำช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาผู้ป่วย
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์โดย ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 7 ขอนแก่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับภาคีเครือข่ายวิจัยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหารือแนวทางวิจัยและประยุกต์ใช้การแพทย์จีโนมิกส์ ขับเคลื่อนแผนพัฒนาการแพทย์แม่นยำ  เพื่อคนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีความแม่นยำและจำเพาะต่อบุคคลมากขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาหายและทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การแพทย์แม่นยำ ซึ่งใช้ฐานเทคโนโลยี ของจีโนมมนุษย์เป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการพัฒนาประเทศตามแนวทางไทยแลนด์ 4.0 โครงการ Genomics Thailand ได้ถูกตั้งขึ้น ในปี พ.ศ.2561 เป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงสาธารณสุข สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) แพทยสภาแห่งประเทศไทย และภาคีเครือข่ายภาค

วิชาการจากสถาบันการศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งการริเริ่มดังกล่าวมุ่งประโยชน์ที่จะนำเทคโนโลยีจีโนมมนุษย์ (human genome technology) มาใช้ในการจัดการปัญหาทางสุขภาพและความอยู่ดีกินดีของประชากรไทย โดยแผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย พ.ศ.2563-2567 ได้รับมติเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2562 และได้รับอนุมัติงบประมาณการดำเนินงานวงเงินกว่า 4,570 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นผู้นำการแพทย์จีโนมิกส์ของอาเซียนภายใน 5 ปี

ในแผนปฏิบัติการบูรณการจีโนมิกส์ ประเทศไทย ประกอบด้วย มาตรการในการนำเทคโนโลยีทางพันธุศาสตร์ก้าวหน้ามาใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งเป็นการลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันโรค วินิจฉัยโรค และดูแลผู้ป่วย อันจะนำมาสู่การลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างมาก รวมทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านการส่ งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรและการให้บริการใน medical hub ซึ่งที่ผ่านมา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และภาคีเครือข่าย ได้ดำเนินการแผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย ในการพัฒนาเทคโนโลยีการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ที่เรียกว่าจีโนมิกส์ โดยจะทำการสุ่มตรวจรหัสพันธุกรรมคนไทย จำนวน 50,000 คน มุ่งเน้นศึกษาพันธุกรรมเสี่ยงใน

ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยโรคที่หายาก ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ผู้ป่วยที่แพ้ยากันชัก และเภสัชพันธุศาสตร์พร้อมจัดทำฐานข้อมูลพันธุกรรมอ้างอิงของชาวไทยและพัฒนาระบบการบริหารจัดการและแปลผลข้อมูลพันธุกรรม นับเป็นการสนับสนุนให้เกิดการ วินิจฉัย ป้องกัน และรักษาผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำตามแนวทาง การแพทย์แม่นยำ ยกระดับการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ พร้อมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสการแข่งขันในธุรกิจด้านบริการการแพทย์และนวัตกรรมสุขภาพ

"กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้ความสำคัญกับโครงการนี้ และมีนโยบายให้มีการจัดประชุมสัญจรในส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ ได้แก่ ภาคใต้ ที่จังหวัดสงขลา, ภาคเหนือ ที่จังหวัดเชียงใหม่ สำหรับการประชุม Genomics Thailand สัญจรภาคอีสาน ที่จังหวัดขอนแก่นในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 7 ขอนแก่น  มหาวิทยาลัยขอนแก่น ภาคีเครือข่ายวิจัยของมหาวิทยาลัย และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นักวิชาการ นักวิจัย อาจารย์ในสถาบันการศึกษา นักวิชาการจากกระทรวงสาธารณสุข และผู้สนใจ ประมาณ 100 คน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของการดำเนินโครงการ ตลอดจนการสนับสนุนแนวคิดเชิงการแพทย์แม่นยำให้กับประชาคมในเครือข่ายวิจัยและเป็นการสร้างเครือข่ายวิจัยด้านจีโนมมนุษย์ โดยการทำงานเชื่อมโยงระหว่างนักวิจัยในทีมจีโนมิกส์ไทยแลนด์กับเครือข่ายวิจัยของมหาวิทยาลัย และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นการรับฟังประชาพิจารณ์และแลกเปลี่ยนโจทย์วิจัยในประเด็นเป้าหมายของโครงการ เพื่อให้การดำเนินการโครงการ Genomics Thailand เป็นไปอย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น" อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าว

อ้างอิง : https://www.ryt9.com/s/tpd/3028118

กรมวิทย์ฯ เตือนประชาชนระวังใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

9/ส.ค./2562
กรมวิทย์ฯ เตือนประชาชนระวังใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

หลังตรวจพบยาลดความอ้วน "ลอร์คาเซริน" ปนปลอมเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เตือนระวังอันตรายยา "ลอร์คาเซริน" (Lorcaserin) พบมีแนวโน้มนำมาใช้ในทางที่ผิดเป็นยาควบคุมน้ำหนักซึ่งไม่เคยพบมาก่อนในประเทศไทย ยาชนิดนี้ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทมีผลทำให้ลดความอยากอาหารได้ แต่มีผลข้างเคียงได้แก่ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ มีผลต่อจิตและประสาท และหัวใจ ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่มีภาวะบกพร่องของตับและไต ในต่างประเทศจัดเป็นยาควบคุมและการใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสำนักยาและวัตถุเสพติด ได้รับตัวอย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ลักษณะแคปซูลสีขาวในแผงอลูมิเนียมพลาสติก จำนวน 180 แคปซูลและตัวอย่างจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ลักษณะผงสีน้ำตาล สีขาว และสีดำ บรรจุขวด จำนวนมาก น้ำหนักรวม 70 กิโลกรัม ส่งมาตรวจพิสูจน์เพื่อหาไซบูทรามีน ยา และวัตถุออกฤทธิ์ จากการตรวจพิสูจน์ ในห้องปฏิบัติการ ไม่พบไซบูทรามีน แต่ตรวจพบ ลอร์คาเซริน ซึ่งเป็นยาควบคุมน้ำหนักที่ยังไม่มีจำหน่ายและไม่เคยพบ มาก่อนในประเทศไทย ออกฤทธิ์ควบคุมความอยากอาหารผ่านระบบประสาทส่วนกลาง แต่มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะมีผลต่อหัวใจ และภาวะทางจิตและประสาท เนื่องจาก ลอร์คาเซริน มีข้อบ่งใช้ที่ต้องระวังสำหรับผู้ที่มีภาวะอ้วน น้ำหนักเกินหรือมีโรคอื่นร่วมด้วย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ดังนั้นการใช้ลอร์คาเซริน จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้น ไม่ใช้ร่วมกับยาควบคุมน้ำหนักชนิดอื่นๆ และเมื่อใช้แล้วพบอาการข้างเคียง ต้องหยุดใช้ยาและรีบมาพบแพทย์ทันที เนื่องจากยานี้เมื่อรับประทานจะถูกดูดซึมได้ดีผ่านตับและขับออกทางปัสสาวะ จึงต้องระมัดระวังการใช้ในผู้ที่ภาวะบกพร่องทางตับและไต ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากมีผลต่อทารกในครรภ์ การปนปลอมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงอาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างมาก เมื่อรับประทานในขนาดยาที่สูง จนเกิดผลข้างเคียงต่อจิตและประสาท หรือในหญิงตั้งครรภ์ หรือผู้มีภาวะหลอดเลือดและหัวใจ หรือผู้ที่มีภาวะบกพร่องของตับและไต

ลอร์คาเซริน ยังไม่มีการควบคุมในประเทศไทย ในสหรัฐอเมริกาจัดเป็นสารควบคุมในกลุ่ม Schedule IV drugs คือ สามารถใช้ในทางการแพทย์ แต่มีแนวโน้มการนำมาใช้ในทางที่ผิดเช่นเดียวกับเฟนเตอมีน รวมทั้งยาควบคุมน้ำหนักอื่นๆ เช่น อีเฟดรีน แอมฟีพราโมน นอร์ซูโดอีเฟดรีน และมาซินดอล เป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 เนื่องจากมีการใช้ในทางการแพทย์ แต่  มีแนวโน้มการนำมาใช้ในทางที่ผิดสูง

"ลอร์คาเซริน ที่พบการปนปลอมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในประเทศไทย คาดว่านำมาใช้ทดแทนไซบูทรามีน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย ซึ่งไซบูทรามีน จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 ดังนั้นจึงมีแนวโน้ม

การนำลอร์คาเซรินมาใช้ในทางที่ผิดสูง ทั้งนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้นำเสนอข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อใช้ในการพิจารณาควบคุมทางกฎหมาย เฝ้าระวังการแพร่ระบาดต่อไป" อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าว

อ้างอิง: https://www.ryt9.com/s/tpd/3012597